หากเทียบกับยุคสมัยของไทยเรา อาจเทียบได้กับสมัยกรุงศรีอยุธยา ในขณะนั้นประเทศเพื่อนบ้านของเราก็มีประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำอยู่ที่ชาวไทยอาจไม่ทราบกันเท่าไหร่นัก ในปีมะเส็ง ค.ศ. 1437 นั้น มียายนางหนึ่งชื่อว่ายาย “เปญ” ที่มีชื่อเต็มๆว่า นาง ตวน เปญ ได้พบกับต้นตะเคียนลอยอยู่กลางแม่น้ำ จากนั้นจึงเรียกชาวบ้านช่วยกันมายกขึนฝั่ง หลังจากนั้นยายเปญและชาวบ้านได้ผ่าไม้และพบว่าข้างในมีพระพุทธรูปอยู่ 4 องค์ ดังนั้นยายเปญและชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างที่เคารพสักการะพระพุทธรูปขึ้นมาภายในหมู่บ้าน
ต่อมาช่วงกลางศตวรรษที่ 15 เจ้าพระยาญาติย้ายราชธานีจากเมืองพระนครหนีสยามมาตั้งอยู่ที่นครวัดและสร้างพระราชวัง ณ พื้นที่ที่เป็นกรุงพนมเปญในปัจจุบัน ต่อมาภายหลังมีการสร้างเจดีย์ขึ้นซึ่งในขณะนั้นเมืองยังไม่ได้เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1866 ภายใต้การปกครองของพระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ จึงได้แต่งตั้งกรุงพนมเปญเป็นเมืองหลวงของประเทศโดยที่มาของคำว่ากรุงพนมเปญนี้ก็มาจากชือภูเขาอันเป็นที่อยู่ของยายเปญนี้เอง วัดพนมนี้ถือได้ว่าเป็นจุดรวมใจอันสำคัญของชาวกัมพูชา เพราะนี่คือกิโลเมตรที่ 0 อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางจากพนมเปญ นอกจากนี้ชาวกัมพูชาจะเข้ามาสักการะที่วัดนี้ในวันสงกรานต์และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
สถาปัตยกรรมของวัดพนม
วัดพนมมีการก่อสร้างใหม่หลายครั้ง โดยเริ่มครั้งแต่คริสศตวรรษที่19 และในปี 1926 การตกแต่งภายในนั้นจะมีพระ4องค์เป็นพระพุทธรูปประจำวัด และมีการตกแต่งด้วยเทียนและดอกไม้ตามธรรมเนียมพุทธศาสนา ที่สำคัญคือพนังของวัดนั้น มีการบรรยายเรื่องชาดกต่างๆของพระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้ นอกจากนี้ยังมีการบรรยายเรื่องรามเกียรติ์, มหากาพย์รามายณะตามความเชื่อของชาวกัมพูชา ภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ไม่เพียงแต่มีความลงตัวทางศิลปะแล้ว หากแต่ยังมีความร่วมสมัยตามธรรมเนียมของชาวกัมพูชาอีกด้วย
ด้านล่างของพระวิหารนั้นจะมีรูปเคารพของคุณยายเปญ โดยมีผู้เข้ามาเคารพสักการะคุณยายอันเป็นการขอบคุณและการระลึกถึงพระคุณของคุณขายเปญต่อกรุงพนมเปญอีกด้วย
- พิกัด: 11.5761179,104.9209684
- ราคาบัตร: 1USD ต่อคน และ ราคาขี่ช้าง 15USD